“การประเมินอันตราย” มันต่างจาก “การประเมินความเสี่ยง” อย่างไร
สวัสดีครับ
พอดีไปอ่านพบมา ขออนุญาตนำมาเผยแพร่ต่อนะครับ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
สมาคมอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน
ความคาดหวังต่อคุณสมบัติ “ผู้ชำนาญการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน” ตามมาตรา 33 แห่งพรบ.ความปลอดภัย ฯ พ.ศ. 2554
ในมาตรา 32 ของพรบ.ฉบับนี้ กำหนดว่านายจ้างต้องจัดทำ “การประเมินอันตราย” โดยต้องทำตามคำแนะนำของ “ผู้ชำนาญการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน” (ต่อไปนี้จะเรียกสั้น ๆ ว่า “ผู้ชำนาญการ”) และต้องให้ผู้ชำนาญการคนนี้ลงนามรับรองด้วยว่านายจ้างทำการประเมินตามที่ได้แนะนำไป แสดงว่าคน ๆ นี้ต้องไม่เบาเลยทีเดียว
ทีนี้มีคำถามว่า แล้ว “การประเมินอันตราย” มันต่างจาก “การประเมินความเสี่ยง” อย่างไร
ในความเห็นของผม คิดว่าโดยพื้นฐานแล้วไม่ต่างกันดอก เป็นเรื่องของการใช้คำซะมากกว่า แต่ถ้าพยายามจะให้มันต่าง ผมมองดังนี้
1. การประเมินอันตรายตามมาตรา 32 มีรังสีอำมหิตอยู่ (เล่นสำนวนหนังจีนกำลังภายในหน่อย) คือน่าจะเป็นเรื่องอะไรที่มีความรุนแรงมาก ถึงขนาดกำหนดให้ต้องทำตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ รวมทั้งหากไปอ่านในหมายเหตุของพรบ. ที่บอกเหตุผลของการกำหนดพรบ.ความปลอดภัยฯ ฉบับนี้ ก็ได้อ้างถึงเรื่อง “…..การนำเทคโนโลยี เครื่องมือ เครื่องจักร อุปกรณ์ สารเคมี และสารเคมีอันตรายมาใช้ในกระบวนการผลิต การก่อสร้าง และบริการ แต่ขาดการพัฒนาความรู้ความเข้าใจควบคู่กันไป ทำให้ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้แรงงาน…..” นั่นแสดงถึงนัยยะของระดับความรุนแรงที่มากกว่าเดิม ๆ
2. ถ้าพูดในเชิงเปรียบเทียบ ก็อาจเหมือนกฎหมายของสหราชอาณาจักร ที่กำหนดเกี่ยวกับ Control of Major Accident Hazards ซึ่งโรงงานต้องทำ Safety Report ด้วย (Major Accident Hazards จะเป็นพวกโรงงานปิโตรเลียม โรงงานเคมี ฯลฯ ที่มีการใช้สารเคมีอันตรายมากในปริมาณที่กำหนด ซึ่งมีอันตรายทั้งต่อชีวิต ทรัพย์สิน และสิ่งแวดล้อม)
3. ส่วนการประเมินความเสี่ยงนั้น ก็เป็นอันตรายทั่วไป เพราะในพรบ.ฉบับนี้ กำหนดว่าอาจไปจ้างบุคคลหรือนิติบุคคลที่ขึ้นทะเบียนกับทางการ ดำเนินการให้ก็ได้ หรือสถานประกอบกิจการทำเองก็ได้ อีกทั้งในกฎกระทรวงว่าด้วยจป. ก็กำหนดให้เป็นหน้าที่ของจป. วิชาชีพ (อยู่แล้ว) (นัยยะของเรื่องจึงบ่งบอกว่าระดับความรุนแรงมันต่ำกว่าข้อ 1 ข้างต้นนี้
4. อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าปวดหัวสำหรับผู้ปฏิบัติก็คือ ในกฎกระทรวงว่าด้วยสารเคมีอันตราย พ.ศ. 2556 ข้อ 32 กำหนด “ให้นายจ้างที่มีสารเคมีอันตรายไว้ในครอบครองตามรายชื่อและปริมาณที่อธิบดี ประกาศกําหนด จัดให้มีการประเมินความเสี่ยงในการก่อให้เกิดอันตรายและจัดทํารายงานการประเมินความเสี่ยงนั้นอย่างน้อยห้าปีต่อหนึ่งครั้ง” เห็นไหมครับ กฎหมายนี้ใช้คำว่าการประเมินความเสี่ยงในความหมายที่ผมคิดว่าตรงกันกับการประเมินอันตรายเลย
จึงสร้างความสับสนให้คนทำงานดีแท้ เรื่องนี้ขอฝากกับกระทรวงแรงงานเลยว่าเมื่อจะทำการปรับปรุงพรบ.ฉบับนี้ / กฎกระทรวงว่าด้วยสารเคมี / กฎกระทรวงว่าด้วยจป. / และกฎหมายอื่นใดที่จะออกมา ขอให้คำนึงถึงคำที่จะใช้ด้วย
*** อย่างไรก็ตาม ย้ำอีกครั้งว่าในความเห็นส่วนตัว มันไม่ต่างกันดอก เพราะในอุตสาหกรรมที่เป็น Major Hazard Industry ตำรา บทความ เอกสารวิชาการ ฯลฯ ของฝรั่ง เขาก็ใช้คำว่า Risk Assessment กันทั้งนั้น ดังนั้นการใช้คำเรียกต่าง ๆ ในกฎหมาย จึงต้องระมัดระวังให้มาก เพื่อมิให้เกิดความสับสนขึ้นมา ***
เอาละครับ กลับมาดูหน้าที่ของเหล่าจป.กันหน่อย อ่านกฎกระทรวงว่าด้วยจป. จะพบว่า จป.เทคนิค/ เทคนิคขั้นสูง/ วิชาชีพ ทำหน้าที่เรื่อง
- วิเคราะห์งานเพื่อชี้บ่งอันตราย รวมทั้งกําหนดมาตรการป้องกันและขั้นตอนการทํางาน อย่างปลอดภัยเสนอต่อนายจ้าง
- ประเมินความเสี่ยงด้านความปลอดภัยในการทํางาน (ข้อนี้กำหนดเฉพาะสำหรับจป.วิชาชีพ)
ซึ่งจะเห็นได้ว่า การวิเคราะห์ การประเมินนี้ ยังไงมันก็ต้องครอบคลุมถึงอันตรายทั้งหมดที่มีอยู่แล้วในงาน/กระบวนการผลิต
ดังนั้นจึงสะท้อนหรือบ่งบอกให้เห็นว่า การประเมินอันตรายตามมาตรา 32 มันจึงต้องเป็นเรื่องที่มีความสลับซับซ้อน (Complications) ในกระบวนการผลิต หรือใช้เทคโนโลยีที่ล้ำมาก หรือใช้สารที่ Very very hazardous ในปริมาณที่มาก ๆ อะไรทำนองนี้
จึงมาถึงบทสรุปความคาดหวังของผมต่อคุณสมบัติ “ผู้ชำนาญการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน” ตามมาตรา 33 แห่งพรบ.ความปลอดภัย ฯ พ.ศ. 2554 จึงมีดังนี้
1. กฎกระทรวงใหม่ต้องกำหนด “หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการดำเนินการ” และ “ประเภทกิจการ ขนาดของกิจการที่ต้องดำเนินการ” ที่สะท้อนถึงความจำเป็นที่ต้องให้ไปใช้บริการของผู้ชำนาญการ
2. แล้วจึงมากำหนดคุณสมบัติของผู้ชำนาญการ ซึ่งต้องดู “เหนือชั้น” ในแง่ความรู้ ประสบการณ์ และผลงาน (ไม่งั้นจะเรียกเป็นผู้ชำนาญการได้อย่างไร) และสัมพันธ์กับหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการดำเนินการ และ ประเภทกิจการ ขนาดของกิจการที่ต้องดำเนินการ ที่กำหนดไว้ในข้อ 1
3. ทั้งนี้ ผู้ชำนาญการ ไม่จำเป็นต้องเป็นบุคคลภายนอกเท่านั้น เพราะคนภายในสถานประกอบกิจการนั้น ๆ อาจมีคนที่ได้คุณสมบัติตามที่กำหนดก็ได้
*** แต่จริง ๆ แล้วผมคิดว่าตามเจตนารมณ์ของพรบ.นี้ ต้องเป็นคนนอก เพราะคนในก็ทำหน้าที่ตามที่กล่าวมาข้างต้นอยู่แล้ว จะมากำหนดอะไรอีกให้เป็นผู้ชำนาญการ แต่มานึกถึงภาระที่ต้องจ้างคนนอก ก็เลยต้องคิดแบบน่าจะขัดกับเจตนารมณ์ของพรบ.ในเรื่องผู้ชำนาญการ)
4. และที่สำคัญ กฎหมายเรื่องผู้ชำนาญการที่จะออกมาใหม่นี้ ต้องมองให้ออกถึงจิกซอการทำงานระหว่างการทำงานของเหล่าจป.เทคนิค/ เทคนิคขั้นสูง/ วิชาชีพ และหน่วยงานความปลอดภัยฯ กับของผู้ชำนาญการ ให้เป็นการประสานงาน อย่าประสานงาเป็นอันขาด มันจะยุ่งไปกันใหญ่
จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่ากฎหมายกำหนดคุณสมบัติผู้ชำนาญการ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข และ ประเภทกิจการ ขนาดของกิจการที่ต้องดำเนินการ ที่จะประกาศใช้นั้น จะมีเหตุมีผลและ sound
รศ.สราวุธ สุธรรมาสา
นายกสมาคม ส.อ.ป.